พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [1. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบทที่ 4 วินีตวัตถุ
ให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสถามว่า ภิกษุ เธอคิดอย่างไร ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีความ
ประสงค์จะกล่าวอวด พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ เธอไม่มีความประสงค์จะกล่าวอวด
ไม่ต้องอาบัติ (เรื่องที่ 33)
เรื่องความยินดี 1 เรื่อง
สมัยนั้น พวกญาติถามภิกษุรูปหนึ่งว่า ท่านยังยินดีอยู่หรือ ภิกษุนั้น
ตอบว่า อาตมายังยินดีอยู่ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง1 ท่านเกิดความกังวลใจว่า
เฉพาะพระสาวกของพระผู้มีพระภาคเท่านั้นที่ควรกล่าวอย่างนั้น แต่เราไม่ได้เป็น
พระสาวกของพระผู้มีพระภาค เราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงนำเรื่องนี้ไปกราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสถามว่า ภิกษุ เธอคิดอย่างไร ข้า
พระพุทธเจ้าไม่มีความประสงค์จะกล่าวอวด พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ เธอไม่มีความ
ประสงค์จะกล่าวอวด ไม่ต้องอาบัติ (เรื่องที่ 34)
เรื่องหลีกไป 1 เรื่อง
สมัยนั้น ภิกษุจำนวนมากจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่ง ตั้งกติกากันว่า ขอ
ให้พวกเรารู้กัน ภิกษุรูปใดหลีกไปจากอาวาสนี้ก่อน ภิกษุรูปนั้นเป็นพระอรหันต์
ภิกษุรูปหนึ่งหลีกจากอาวาสนั้นไปก่อนด้วยต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเป็นพระอรหันต์
ท่านเกิดความกังวลใจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า ภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิก (เรื่อง
ที่ 35)
เรื่องอัฏฐิกสังขลิกเปรต 1 เรื่อง
(เปรตมีแต่ร่างกระดูก)
[228] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อ
กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะพัก
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [1. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบทที่ 4 วินีตวัตถุ
อยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ครั้นเวลาเช้า พระมหาโมคคัลลานะครองอันตรวาสก ถือบาตร
และจีวรเข้าไปหาพระลักขณะจนถึงที่อยู่ เชิญชวนว่า ท่านลักขณะมาเถิด พวกเรา
จะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ด้วยกัน พระลักขณะรับคำแล้ว
ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกำลังลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้
แสดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า ท่านโมคคัลลานะ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้
ท่านแสดงอาการแย้ม
พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านลักขณะ ยังไม่ถึงเวลาตอบปัญหานี้ เมื่อ
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ค่อยถามปัญหานี้เถิด
ครั้นท่านทั้ง 2 เที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตหลังจาก
ฉันอาหาร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งลง ณ ที่สมควร
ครั้นแล้วพระลักขณะได้กล่าวขึ้นว่า ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลงจากภูเขา
คิชฌกูฏ ในกรุงราชคฤห์นี้ ถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้แสดงอาการแย้ม อะไรเป็นเหตุเป็น
ปัจจัยให้ท่านแสดงอาการแย้ม
พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่าน เมื่อกระผมลงจากภูเขาคิชฌกูฏได้เห็น
อัฏฐิสังขลิกเปรต ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ ฝูงแร้ง นกกา นกเหยี่ยวพากันโฉบอยู่ขวักไขว่
จิกทึ้งยื้อแย่งเนื้อที่ติดอยู่ตามระหว่างซี่โครงสะบัดไปมาจนมันร้องครวญคราง กระ
ผมมีความรู้สึกว่า น่าอัศจรรย์จริงไม่เคยปรากฏ ที่มีสัตว์เช่นนี้ มียักษ์เช่นนี้ มีเปรต
เช่นนี้ มีการได้อัตภาพเช่นนี้อยู่
ภิกษุทั้งหลายพากันตำหนิ ประณาม โพนทนาว่า พระมหาโมคคัลลานะ
กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย
สาวกทั้งหลายที่มีจักษุญาณก็ยังมีอยู่ เพราะสาวกที่รู้ที่เห็นนี้เป็นพยานได้ เมื่อก่อน
เราก็เห็นอัฏฐิสังขลิกเปรตนั้นแต่ไม่พยากรณ์1 เพราะการพยากรณ์นั้นจะไม่เป็น